ทนายสู้คดี
บ้านในที่ดินสาธารณะ
สามารถถูกยึดบังคับคดีได้
หนึ่งในคำถามที่สร้างความกังวลใจให้แก่ลูกหนี้และเป็นประเด็นถกเถียงทางกฎหมายเสมอมา คือสถานะของ “บ้าน” หรือสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่บนที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ หรือที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เช่น ที่ดิน ภ.บ.ท. 5 หรือที่ดินรกร้างว่างเปล่า หลายคนเข้าใจว่าเมื่อที่ดินไม่สามารถถูกยึดได้ บ้านที่อยู่บนที่ดินนั้นก็น่าจะรอดพ้นจากการบังคับคดีไปด้วย แต่ความเข้าใจดังกล่าวอาจไม่ถูกต้องเสมอไป
บทความนี้จะวิเคราะห์แนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 367/2568 ซึ่งได้วางบรรทัดฐานที่ชัดเจนในประเด็นนี้
ข้อเท็จจริงในคดี
คดีนี้สืบเนื่องมาจากการบังคับคดี โดยเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา (โจทก์) ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลย) ซึ่งทรัพย์ที่ยึดคือ ที่ดิน ภ.บ.ท. 5 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านพักอาศัย 1 หลัง เพื่อนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาว่า ที่ดิน ภ.บ.ท. 5 นั้นเป็นที่ดินของรัฐประเภทที่ดินรกร้างว่างเปล่า ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี จึง “ยึดไม่ได้” และประเด็นนี้ถือเป็นที่สุด แต่ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นศาลฎีกาคือ “บ้านพักอาศัย” ที่ปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว จะสามารถถูกยึดได้หรือไม่
ประเด็นวินิจฉัยสำคัญ “บ้าน” บนที่ดินของรัฐ เป็นทรัพย์สินที่ยึดได้หรือไม่?
ลูกหนี้โต้แย้งว่า ในเมื่อที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านไม่สามารถถูกยึดได้ บ้านก็ไม่ควรถูกยึดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาได้วินิจฉัยในประเด็นนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “บ้านพิพาทสามารถถูกยึดเพื่อบังคับคดีได้”
เหตุผลของศาลฎีกา
แม้ที่ดินจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ราษฎรไม่สามารถมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่จะใช้อ้างยันต่อรัฐได้ แต่ศาลฎีกาให้เหตุผลว่า
ลูกหนี้มีสิทธิในฐานะเจ้าของบ้าน ลูกหนี้ได้ยอมรับว่าเป็นเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว ดังนั้น ลูกหนี้ย่อมมีสิทธิยึดถือ ใช้สอย และที่สำคัญคือสามารถ “จำหน่ายจ่ายโอน” บ้านหลังนั้นได้
สิทธิยันได้ระหว่างราษฎรด้วยกัน สิทธิในตัวบ้านที่ลูกหนี้มีนั้น สามารถใช้ยันกับบุคคลอื่นทั่วไปได้ (ยกเว้นรัฐซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน) สามารถขัดขวางไม่ให้ใครมายุ่งเกี่ยวกับบ้านโดยมิชอบได้
ถือเป็นทรัพย์สินที่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี เมื่อบ้านเป็นทรัพย์ที่ลูกหนี้มีสิทธิในลักษณะดังกล่าว สามารถจำหน่ายจ่ายโอนได้ บ้านจึงถือเป็น “ทรัพย์สิน” ของลูกหนี้ที่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามกฎหมาย เจ้าหนี้จึงมีสิทธินำยึดบ้านหลังดังกล่าวออกขายทอดตลาดได้ แม้จะตั้งอยู่บนที่ดินของรัฐก็ตาม
บทสรุปและข้อควรระวัง
คำพิพากษาฎีกาที่ 367/2568 ได้ให้ความชัดเจนว่า บ้านหรือสิ่งปลูกสร้าง ถือเป็นทรัพย์สินที่แยกต่างหากจากที่ดินได้ในกรณีของการบังคับคดี แม้ท่านจะปลูกบ้านอยู่ในที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ที่ดิน ภ.บ.ท. 5 หรือที่ดินของรัฐประเภทอื่นๆ หากท่านมีหนี้สินตามคำพิพากษา เจ้าหนี้ก็สามารถยึดได้เฉพาะ “ตัวบ้าน” ของท่านเพื่อนำไปขายทอดตลาดได้
ดังนั้น ความเข้าใจที่ว่าบ้านบนที่ดินไม่มีโฉนดจะปลอดภัยจากการถูกยึดทรัพย์นั้นเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเสมอไป
คำพิพากษาฉบับเต็ม จากเว็ปไซต์ deka.supremecourt.or.th
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 367/2568
แม้ที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านพิพาทไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่ดินรกร้างว่างเปล่า ตาม ป.พ.พ. 1304 (1) ซึ่งราษฎรที่เข้ายึดถือครอบครองอยู่ไม่มีสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นทรัพย์สินที่โอนกันไม่ได้ตามมาตรา 1305 และไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 301 (5) และจำเลยปลูกสร้างบ้านพิพาทอยู่บนที่ดินอันเป็นทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีก็ตาม แต่จำเลยเบิกความว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยไว้เท่ากับจำเลยยอมรับว่าเป็นเจ้าของบ้านพิพาท จำเลยจึงย่อมมีสิทธิยึดถือและใช้สอยบ้านพิพาท สามารถยกการครอบครองใช้ยันราษฎรด้วยกันได้ กับมีสิทธิขัดขวามมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับบ้านพิพาทโดยมิชอบ รวมทั้งมีสิทธิจำหน่ายบ้านพิพาทในสถานะเดียวกับเจ้าของ เพียงแต่ไม่สามารถยกการครอบครองดังกล่าวขึ้นอ้างต่อสู้รัฐเท่านั้น ดังนั้น บ้านพิพาทจึงเป็นทรัพย์สินที่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับดี ไม่มีเหตุที่จะถอนการยึดบ้านพิพาทได้
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 443,896.87 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 405,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 11 ตุลาคม 2548) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ต่อมาโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน ภ.บ.ท. 5 หมู่ที่ 8 เนื้อที่ประมาณ 2 งาน พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านพักอาศัยเลขทะเบียนที่ 224 ที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา
จำเลยยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการบังคับคดี
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยึดเฉพาะสิ่งปลูกสร้างบ้านพักอาศัยเลขทะเบียนที่ 224 หมู่ที่ 8 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน ภ.บ.ท. 5 หมู่ที่ 8 พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านพักอาศัยตึก 1 ชั้น เลขทะเบียนที่ 224 หมู่ที่ 8 ของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้ยึดเฉพาะสิ่งปลูกสร้างบ้านพักอาศัยเลขทะเบียนที่ 224 หมู่ที่ 8 ออกขายทอดตลาด โจทก์ไม่อุทธรณ์ คดีในส่วนของที่ดิน ภ.บ.ท. 5 เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ว่า เป็นที่ดินของรัฐประเภทที่ดินรกร้างว่างปล่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (1) จำเลยไม่ใช่เจ้าของและเป็นทรัพย์สินอย่างใดที่โอนกันไม่ได้ตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 301 (5) โจทก์ไม่มีสิทธินำยึดที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดเพื่อบังคับคดี
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีสิทธินำยึดบ้านพักอาศัยเลขทะเบียนที่ 224 หมู่ที่ 8 ตามคำร้องออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์หรือไม่ เห็นว่า แม้ที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านพิพาทไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่ดินรกร้างว่างเปล่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (1) ซึ่งราษฎรที่เข้ายึดถือครอบครองหรืออยู่อาศัยไม่ได้สิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นทรัพย์สินที่โอนกันไม่ได้ตามมาตรา 1305 และไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 301 (5) และจำเลยปลูกสร้างบ้านพิพาทอยู่บนที่ดินอันเป็นทรัพย์ที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีก็ตาม แต่จำเลยเบิกความว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยไว้ เท่ากับจำเลยยอมรับว่าเป็นเจ้าของบ้านพิพาท จำเลยจึงย่อมมีสิทธิยึดถือและใช้สอยบ้านพิพาท สามารถยกการครอบครองใช้ยันราษฎรด้วยกันได้ กับมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับบ้านพิพาทโดยมิชอบ รวมทั้งมีสิทธิจำหน่ายบ้านพิพาทในสถานะเดียวกับเจ้าของ เพียงแต่ไม่สามารถยกการครอบครองดังกล่าวขึ้นอ้างต่อสู้รัฐเท่านั้นดังนั้น บ้านพิพาทจึงเป็นทรัพย์สินที่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ไม่มีเหตุที่จะถอนการยึดบ้านพิพาทตามคำร้องได้ กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยว่าบ้านพิพาทเป็นส่วนควบกับที่ดินหรือไม่ ตามที่จำเลยอ้างมาในฎีกาเพราะรัฐซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินมิได้เข้ามาโต้แย้งสิทธิของตนกับโจทก์จำเลยในคดีด้วย ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าบ้านพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของนางอัมพร มิใช่เป็นของจำเลยนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยเพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกา ไม่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 จึงไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

ทนายพีรดา
หัวหน้าสำนักงานกฎหมาย THE BEST LAWYER
โทร.0984532263