ทนายสู้คดี

ขาดส่งจนโดนยึดรถแต่ตอนยึดคืนไฟแนนยังไม่บอกเลิกสัญญาอย่างเป็นทางการถือว่าสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยายไม่ต้องจ่ายค่าขาดราคา

ทนายสู้คดี

ขาดส่งจนโดนยึดรถ แต่ตอนยึดคืนไฟแนนยังไม่บอกเลิกสัญญาอย่างเป็นทางการ ถือว่าสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยาย ไม่ต้องจ่ายค่าขาดราคา

โดนฟ้องคดีเช่าซื้อรถ? อาจไม่ต้องจ่ายค่าขาดราคา | ทนายสู้คดี

วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 5055/2567

การเลิกสัญญาโดยปริยายและผลต่อค่าขาดราคาในคดีเช่าซื้อรถ

ปัญหาการฟ้องร้องเรียก “ค่าขาดราคา” ภายหลังจากที่ผู้ให้เช่าซื้อได้ยึดรถยนต์คืนไปแล้ว เป็นประเด็นข้อพิพาทที่พบบ่อยในคดีเช่าซื้อรถยนต์ อย่างไรก็ตาม แนวคำพิพากษาศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ฉบับล่าสุดได้วางบรรทัดฐานที่สำคัญ ซึ่งอาจส่งผลให้แนวทางการต่อสู้คดีของผู้เช่าซื้อเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ บทความนี้จะทำการวิเคราะห์เจาะลึกคำพิพากษาฎีกาที่ 5055/2567 เพื่อทำความเข้าใจหลักกฎหมายและเหตุผลของศาล

 

ข้อเท็จจริงโดยสรุปจากคดี

เพื่อให้เข้าใจบริบทของคำพิพากษา สามารถสรุปข้อเท็จจริงที่สำคัญได้ดังนี้

🔘 จำเลยที่ 1 (ผู้เช่าซื้อ) ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับ โจทก์ (บริษัทไฟแนนซ์) และมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน

🔘 จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระค่างวดได้ 18 งวด และผิดนัดชำระหนี้ตั้งแต่งวดที่ 19 เป็นต้นไป

🔘 ต่อมา โจทก์ได้กลับเข้าครอบครอง (ยึด) รถยนต์ที่เช่าซื้อคืนไป ในขณะที่สัญญาเช่าซื้อยังมิได้มีการบอกเลิกอย่างเป็นทางการ

🔘 หลังจากนำรถยนต์ไปขายทอดตลาด โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเพื่อเรียกให้ชำระหนี้ส่วนที่เหลือ โดยอ้างว่าเป็น “ค่าขาดราคา”

 

ประเด็นวินิจฉัยสำคัญ การเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยปริยาย

 

หัวใจของคดีนี้อยู่ที่การวินิจฉัยของศาลฎีกาเกี่ยวกับสถานะของสัญญาเช่าซื้อ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า พฤติการณ์ที่โจทก์กลับเข้าครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้โต้แย้งคัดค้านนั้น ถือได้ว่าทั้งสองฝ่าย “สมัครใจเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกันโดยปริยาย”

การเลิกสัญญาโดยปริยาย หมายถึง การเลิกสัญญาที่ไม่ได้เกิดจากการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาโดยตรง แต่เกิดจากพฤติการณ์ของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายที่แสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่าต่างฝ่ายต่างไม่ประสงค์จะผูกพันตามสัญญาต่อไป

ผลทางกฎหมาย เมื่อสัญญาเลิกกันโดยปริยาย เหตุใดจึงเรียก “ค่าขาดราคา” ไม่ได้?

เมื่อศาลวินิจฉัยว่าสัญญาได้เลิกกันโดยปริยายแล้ว ย่อมส่งผลให้สิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อเดิมเป็นอันระงับสิ้นไปทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ โจทก์จึงไม่อาจอ้างสิทธิตามข้อสัญญาเดิมเพื่อเรียกร้อง “ค่าขาดราคา” ซึ่งเป็นค่าเสียหายที่กำหนดไว้ในสัญญาจากจำเลยที่ 1 ได้อีกต่อไป บรรทัดฐานนี้ถือเป็นการจำกัดสิทธิของผู้ให้เช่าซื้อในการเรียกค่าเสียหายตามสัญญาอย่างชัดเจน

ความรับผิดที่ยังคงอยู่ “ค่าเสื่อมราคา” ตามหลักการกลับคืนสู่ฐานะเดิม

อย่างไรก็ตาม แม้ผู้เช่าซื้อจะไม่ต้องรับผิดในค่าขาดราคา แต่การเลิกสัญญานั้นต้องมีการกลับคืนสู่ฐานะเดิมของคู่สัญญาตามหลักกฎหมายทั่วไป (เทียบเคียง ป.พ.พ. มาตรา 391) ศาลฎีกาเห็นว่า การที่โจทก์ได้รับรถยนต์ที่ผ่านการใช้งานและมีสภาพเสื่อมราคาไปแล้วคืนมานั้น ไม่อาจทำให้โจทก์กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมได้อย่างสมบูรณ์

ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและใกล้เคียงกับการกลับสู่ฐานะเดิมมากที่สุด จำเลยที่ 1 จึงยังคงต้องรับผิดชดใช้ “ค่าเสื่อมราคา” ของรถยนต์ให้แก่โจทก์ ศาลได้พิจารณากำหนดค่าเสื่อมราคาโดยคำนึงถึงระยะเวลาการครอบครองใช้งานรถยนต์และระยะทางที่ใช้ไป ซึ่งในคดีนี้ศาลได้กำหนดให้เป็นเงินจำนวน 30,000 บาท

 

บทสรุปและนัยสำหรับผู้เช่าซื้อและทนายสู้คดี

 

คำพิพากษาฎีกาที่ 5055/2567 ได้วางหลักกฎหมายที่สำคัญในคดีเช่าซื้อรถยนต์ไว้ว่า

🔘 พฤติการณ์ที่ผู้ให้เช่าซื้อยึดรถคืนโดยผู้เช่าซื้อไม่คัดค้าน อาจถือเป็นการเลิกสัญญาโดยปริยาย

🔘 เมื่อสัญญาเลิกกันโดยปริยาย ผู้ให้เช่าซื้อจะสิ้นสิทธิในการฟ้องเรียก “ค่าขาดราคา” ตามข้อสัญญา

🔘 อย่างไรก็ดี ผู้เช่าซื้อยังคงต้องรับผิดใน “ค่าเสื่อมราคา” ของรถยนต์ตามสภาพการใช้งานจริง

 

แนวทางนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้บริโภคที่กำลังโดนฟ้องคดีเช่าซื้อรถ และเป็นข้อต่อสู้ทางกฎหมายที่สำคัญซึ่งทนายสู้คดีสามารถหยิบยกขึ้นอ้างเพื่อปกป้องสิทธิของลูกความได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

หากท่านกำลังประสบปัญหาถูกฟ้องร้องในคดีเช่าซื้อรถ หรือมีข้อสงสัยทางกฎหมายเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว สามารถติดต่อเพื่อขอรับคำปรึกษาเบื้องต้นจากทีมทนายความของเราได้

Picture of ทนายพีรดา

ทนายพีรดา

หัวหน้าสำนักงานกฎหมาย THE BEST LAWYER
โทร.0984532263

Leave a comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *